ตอนที่เรายังเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เราก็ล้วนแต่ฝันถึงความรักอันงดงาม แต่ยิ่งโตขึ้น มาเราก็ยิ่งรู้ว่าความรักเป็นเรื่องสวยงามพอ ๆ กับที่เป็นเรื่องซับซ้อนและเจ็บปวด
ชีวิตจริงไม่ใช่แค่ไม่มีเจ้าหญิง ไม่มีเจ้าชาย แต่สุดท้ายตอนจบที่แฮปปี้เอ็นดิ้งก็อาจไม่มีอยู่จริงเลยด้วยซ้ำ ที่สำคัญแค่ “ความรัก”
มันไม่พอให้ความสัมพันธ์ขับเคลื่อนไปข้างหน้า เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องปล่อยมือ แต่ถ้ายังลังเลใจว่านี่เราได้เดิน มาสุดทางแล้วหรือยัง
อนาคตเราไม่มีกันและกัน
ความรัก ความสัมพันธ์มันไม่ใช่แค่รักกันวินาทีนี้ ห ลงใหลกันปัจจุบันนี้แล้วทุกอย่างจะลงเอยอย่างสวยงาม แต่ความรักมันคือเรื่องของระยะเวลาที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
ที่ผ่าน มาเราอาจจะรักกัน มาก แต่ถ้ามองไปในอนาคตวันข้างหน้าเป้าห มายที่เราวางไว้ ดันไม่มีเขาอยู่ในภาพนั้นเลย หรือในทางกลับกันความฝันสวยหรูที่เขาแพลนเอาไว้ว่าอยากไปให้ถึง
แต่กลับไม่เคยพูดเลยว่าเราจะอยู่ตรงไหนในความฝันนั้น บางคน มองว่าอนาคตมันอีกไกล แต่การที่คนเราวางแผนถึงอนาคตจากปัจจุบันแล้วไม่มีกันและกันอยู่ในนั้น มันก็พอบอกได้ว่าเราสำคัญแค่ไหนในชีวิตคนอีกคน
เจ็บปวดกับเรื่องเดิมซ้ำ ๆ จนชินชา
ความรักและความเจ็บปวดมาคู่กัน มันไม่แปลก ไม่มีความสัมพันธ์ไหนที่ราบรื่นไปตลอด แต่เมื่อเรื่องไหนที่เราเจ็บปวด เพราะเขาทำร้ า ยเราโดยไม่รู้ตัวหรือไม่ทันระวัง
เราก็บอกเขาว่าเราไม่ชอบสิ่งนั้นเอามาก ๆ และขอร้องไม่ให้เขาทำร้ า ยเราซ้ำอีก ดังนั้นถ้ามัน มีเรื่องใหม่ ๆ อุปสรรคใหม่ ๆ
มาให้คอยรับมือหรือแก้ไขมันก็เข้าใจได้ว่ามันคือความสัมพันธ์ที่เดินไปข้างหน้าแต่การที่เราเจ็บปวดกับเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ มาตลอด มันบ่งบอกถึงความไม่ใส่ใจของอีกฝั่ง
และการวนอยู่กับที่เดิม ย้ำกับรอยแผลเดิม ๆ มันคือสัญญาณว่าเราไม่พร้อมจะก้าวต่อไป เขาเองก็ไม่พร้อมจะปรับหรือใส่ใจความเจ็บปวดของเรา
การต้องอยู่กับคนที่เห็นความเจ็บปวดเสียใจของเราเป็นเรื่องธรรมดา เราว่านี่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ดีเท่าไหร่นัก
เมื่อเราไม่เป็นตัวเอง
ธรรมชาติของมนุษย์คือการเติบโตและเปลี่ยนแปลง วันหนึ่งในอดีตที่ผ่าน มาเราอาจรักเขาที่เขาเป็นเขา แต่เราไม่สามารถตะโпนต่อว่าเขาได้ว่า “เธอเปลี่ยนไป!” เพราะใคร ๆ ก็เปลี่ยนทั้งนั้น
แน่ใจเหรอคะว่าตั้งแต่อนุบาลถึงวินาทีนี้เราไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย ? ดังนั้นความรักที่จะไปต่อได้ก็คือการรักกันไม่ว่าคนคนนั้นจะเติบโตหรือเปลี่ยนแปลงไป
(ตราบใดที่ไม่ใช่การเปลี่ยนไปเพราะจงใจทำร้ า ยกันหรือมีคนอื่น) แต่ถ้าเราเริ่มเรียกร้องให้เขาเป็นแบบนั้นแบบนี้อย่างที่ใจเราต้องการ
แต่เขากลับไม่ห ลงเหลือความเป็นตัวเองเลย เขาอาจทำได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่สุดท้ายมันจะระเ บิ ดออก เราเองก็เช่นกัน ถ้าความรักเรียกร้องให้เราเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง นี่แหละสัญญาณสุดท้ายที่เราไม่ควรฝืนให้เจ็บ
เมื่อเราอยากไปข้างหน้า แต่ว่าเขายังอยากอยู่ที่เดิม
ความรักคือการเติบโตไปด้วยกันในจังหวะที่เร็วหรือช้าพอ ๆ กัน ตอนเริ่มต้นรักกัน อะไร ๆ ก็ดูจะเป็นไปในจังหวะที่ตรงกันไปเสียหมด
แต่ถ้าวันหนึ่งเราอยากจริงจัง อยากไปถึงขั้นต่อไป เช่น เราอาจอยากพาเขาไปแนะนำกับกลุ่มเพื่อนของเรา อยากพาเขาไปเจอที่บ้านเราเป็นบางครั้ง
หรือเริ่มจริงจังในรูปแบบอื่น ๆ แต่เขายังไม่อยากก้าวไปถึงจุดนั้นพร้อมกับเรา ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รักเรา เขาก็รักเรา เราเองก็รักเขา
แต่ถ้าเราอยากก้าวไปอีกขั้น แต่เขาเองก็ปฏิเสธที่จะพาเราไปเจอกับกลุ่มเพื่อนและครอบครัวเขา มีเงื่อนไขหลายอย่างที่เขาไม่พร้อม
มันคือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเรากำลังก้าวไปข้างหน้าคนละจังหวะ แรก ๆ อาจไม่เป็นไร แต่ถ้าถึงขั้นห่างกันจนรับไม่ได้ คนหนึ่งแพลนจะแต่งงานแล้ว แต่อีกคนยังไม่พาไปเจอที่บ้านเลย มันก็ยากเกินจะฝืน
เมื่อมีอดีตที่ลืมไม่ลง และเอามาทำร้ า ยกันซ้ำ ๆ
ขึ้นชื่อว่าความรักความสัมพันธ์เมื่อเติบโตผ่านกาลเวลามาระยะหนึ่งมันย่อมมีอย่างน้อยหนึ่งเรื่องที่เป็นบาดแผลฝังรอยลึก จนเราลืมไม่ค่อยลง ลืมไม่ค่อยลงก็เข้าใจได้
แต่ถ้าลืมไม่ลงและทุกครั้งที่ทะ เลาะกัน เราเจ็บปวด โมโห โกรธ จนต้องขุดเอาแผลที่เขาเคยทำร้ า ยเราขึ้น มาต่อว่าเขาทุกครั้ง จนเรื่องมันยิ่งเ ล วร้ า ยลงไปกว่าเดิม
นี่คือสัญญาณว่าเราเจ็บปวดมากและเราไม่เคยให้อภัยเขาได้อย่างแท้จริง เวลาปกติเราแกล้งลืมและหลอпตัวเองว่าให้อภัย
แต่พอเราเปราะบางมันก็กลับมาหลอпหลอนเรา ถ้ามันยังเจ็บมากไม่ว่าผ่าน มานานแค่ไหน แถมเรายังขุดมัน มาทำร้ า ยตัวเองและเขาไม่หยุด
แสดงว่ามันร้ า ยแรงต่อความรู้สึกเรา ดังนั้นอย่าฝืน อย่าหลอпตัวเอง ปล่อยมือเขาแล้วเดินจากมาเถอะ