ทำไมทำดีแค่ไหนเขาก็มองไม่เห็นความดี

เคยตั้งคำถามกับตัวเองไหม…? ทำไมทำดีแค่ไหน คนก็มองไม่เห็นความดีนั้นเสียที

ให้อะไรไปกลับถูกปฏิเสธกลับมา ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่มีค่า

รู้สึกผิดหวัง ที่ผู้รับไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองให้ไป เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า… ” การให้ กับ การรับ ไม่เคยเท่ากัน “

กลับมาคิดๆดูแล้วว่า… ” เราให้มากไป หรือ อีกฝ่ายไม่รู้จักพอ “

ทำไมเขาไม่ฟังคำเตือนของเราทั้งๆ ที่เราหวังดีแท้ๆ

ทั้งๆที่เราพยายามจะช่วยเขาแต่เขากลับทำเมินใส่

สัจธรรมข้อหนึ่งของชีวิตคือ ” การให้ กับ การรับ ไม่เคยเท่ากัน “

ถ้าเมื่อไหร่ใจเราอยากจะให้ แล้วเราเกิดคาดหวังอะไรบางอย่าง

เช่น คาดหวังว่าเขาจะซาบซึ้ง สำนึกบุญคุณ หรือ ตอบแทนเราบ้าง

เพราะเราคาดหวังว่าจะต้องได้คืน มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

มันจึงเกิดทุกข์ ทุกข์ตั้งแต่ยังไม่ได้ให้ ทุกข์ตั้งแต่เริ่มคิด

เพราะเราไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า… คนที่รับไปนั้น

เขาคิดอย่างไรกันแน่ การให้เพื่อหวังผลตอบแทน

จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ มันทำให้เราเป็นทุกข์ตั้งแต่ยังไม่ได้ให้ด้วยซ้ำ

ความจริงคือ คนเรามีสามัญสำนึกไม่เหมือนกัน อย่าไปคาดหวังอะไรให้มาก

จงโฟกัสที่การให้ มากกว่า การรับคืนกลับมา เพราะทุกอย่างที่เราให้ไป

เราก็ได้อยู่แล้ว… เมื่อเราคิดดีกับคนอื่น เราก็ได้ความสุขใจกลับมา

เมื่อเราเตือนเพื่อนด้วยความห่วงใย เราก็ได้ถ่ายทอดความรักของเราที่มีต่อเพื่อน

เมื่อเราเสนอที่จะช่วยเหลือ เราก็ได้รับความสุขจากความห่วงใยนั้น

ในทางกลับกัน… เมื่อเราคิดร้ า ຢกับใคร เราก็ได้ความทุกข์ใจกลับมา

เพราะฉะนั้น จงอย่าไปกังวลว่า เราทำอะไรให้ใครแล้วเขาจะรับมันยังไง

ให้กังวลดีกว่าว่า เราทำอะไรไปแล้ว เรารู้สึกสบายใจแค่ไหน

ให้โดยไม่หวังผล คือ การให้ที่สบายใจที่สุด ไม่ต้องคาดหวังให้เกิดทุกข์

แต่เชื่อเถอะว่าสิ่งที่เราให้ไม่เคยเสียเปล่า สักวันการให้…

จะกลับมาเจือจุนชีวิตของเรา ไม่ช้าก็เร็ว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

การให้เพื่อหวังผล ไม่ใช่การให้ที่แท้จริง จำไว้… จงอย่าได้คาดหวังอะไรจากใครๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.