แนวคิดที่ว่า… มีลูกเพื่อหวังจะให้มาเลี้ยงดูในยามแก่นั้นเป็นแนวคิดของคนสมัยก่อน ซึ่งผู้ใหญ่หลายๆคน มักจะมีแนวคิดแบบนี้จริงๆ
แต่ว่าหากจะมองในความเป็นจริงแล้วมันเป็นอย่างไร ในยุคสังคมปัจจุบันจะใช้ความคิดแบบนี้ได้อยู่ไหม ” มีลูกเพื่อที่ว่า จะได้มีคนเลี้ยงดูเราตอนอายุมากขึ้น “
ซึ่งมันจะแปลได้อีกทางว่า… หากลูกไม่ยอมเลี้ยงดูคืออ กตัญญูอย่างนั้นหรือ..? หรือว่า… ในความเป็นจริงนี่คือความรักที่หวังผล เป็นความเห็นแก่ตัวของคนเป็นพ่อแม่!
ในปัจจุบันนี้ก็มี พ่อ แม่ หลายๆครอบครัวมากที่เข้ากับครอบครัวของลูก ๆ ไม่ได้ บางทีความคิดแบบเดิมมันอาจจะต้องปรับแล้วก็ได้
ทำไมไม่เปลี่ยนความคิดที่ว่าอยากจะให้ลูกเลี้ยงดูในตอนชรานั้น ให้มาทำอย่างไรจึงจะดูแลตัวเองได้ในตอนแก่บ้าง
จะเอาสมัยก่อนกับปัจจุบัน มาเที่ยวกัน มันไม่ได้ ที่พ่อแม่มีลูกตั้งหลายคนยังเลี้ยงได้ ทำไมลูกเลี้ยงพ่อแม่บ้างไม่ได้
ซึ่งมันก็อาจจะน่าคิด แต่ลองมองถึงค่าครองชีพ และ วิถีชีวิตของสังคมในปัจจุบันดู มันเหมือนสมัยก่อนไหม
เรามีเรื่องราวตัวอย่างที่น่าสนใจไว้เป็นกรณีศึกษา ที่อยากให้ทุกคนได้อ่ า นและลองทำความเข้าใจตาม ทั้งใน มุมของคนเป็นพ่อแม่ และ ใน มุมของความเป็นลูก ซึ่งมีเรื่องราวมีดังนี้
มีคุณแม่คนหนึ่ง สามีจากไปนานแล้ว เธออดทนทำงานหาเงินเลี้ยงดูลูกชายเพียงลำพัง ลูกชายก็ทำตัวเป็นลูกที่ดี
เป็นคนเชื่อฟังแม่ตั้งแต่ตอนเล็ก พอลูกโต เธอ ก็ส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ พอลูกเรียนจบก็อยู่ทำงานต่อที่ต่างประเทศ ทำงาน หาเงิน ซื้อบ้าน แต่งงาน มีลูกหนึ่งคน สร้างครอบครัวที่แสนสุข
ตัวเธอเองคิดถึงประโยคที่ว่า… มีลูกจะได้มีคนเลี้ยงตอนแก่ คิดถึงสายตาอิจฉาของญาติๆและเพื่อนฝูง เธอมีความสุขจากใจ ระหว่างรอจดห ມ ายตอบจากลูกชาย เธอ ก็จัดการเรื่องบ้านและงานจนเรียบร้อย
คืนสุดท้ายก่อนเธอจะเกษียณ เธอ ก็ได้รับจดห ມ ายที่ส่งมาจากต่างประเทศของลูกชาย พอเปิดออ กดูข้างในก็เป็นเช็คต่างประเทศ ตีเป็นเงินไทยได้มูลค่าประมาณ 1 ล้านบาท เธอรู้สึกแปลกใจมาก เพราะลูกชายไม่เคยส่งเงินให้เธอมาก่อน !!
เธอรีบเปิดจดห ມ ายออ กอ่ า น ในจดห ມ ายเขียนว่า… “แม่ครับ พวกเราได้คุยกันแล้ว ตัดสินใจ และสรุปว่า
พวกเราไม่ยินดีให้แม่มาอยู่ด้วยกันที่นี่ ถ้าแม่คิดว่าแม่มีบุญคุณที่เลี้ยงดูผมมา คำนวณตามราคาตลาด ก็ประมาณเงินที่ผมส่งให้นี้ หวังว่าต่อไปนี้แม่จะไม่เขียนจดห ມ ายมาอีก”
แม่อ่ า นจดห ມ ายฉบับนั้นจบก็น้ำตาไหลพราก รู้สึกว่าที่ตัวเองอดทนทำเพื่อลูก เป็นคุณแม่เลี้ยงเดียวมาตลอดชีวิต จากนี้ไปต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เธอรู้สึกสิ้นหวังในชีวิตอย่างมากจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ !!
ต่อมาเธอจึงเริ่มหันหน้าเข้าหาธรรมะ ไปปฏิบัติธรรม ศึกษาพระพุทธศาสนา หลังศึกษาเธอ ก็คิดได้ เธอใช้เงิน 1 ล้านบาท เอาไปเดินทางเที่ยวรอบโลก ได้เห็นสิ่งใหม่ ๆ มากมาย เมื่อได้เห็นโลกที่กว้างใหญ่ขึ้น ความคิดจึงเปลี่ยนไป
หลังจากนั้นเธอจึงเขียนจดห ມ ายหนึ่งฉบับถึงลูกชาย ในจดห ມ ายว่า… ” ลูกรัก ลูกไม่อยากให้แม่เขียนจดห ມ ายมาอีก
ก็ถือซะว่าจดห ມ ายฉบับนี้เป็นข้อความเพิ่มเติมจากฉบับที่แล้วละกัน แม่ได้รับเช็คแล้ว และ ใช้เงินจำนวนนั้นไปเดินทางรอบโลก
ระหว่างเดินทางท่องเที่ยว อยู่ ๆ แม่ก็รู้สึกว่า แม่ควรขอบใจลูก ขอบใจที่ทำให้แม่เห็นอะไรทะลุปรุโปร่ง ปล่อยวาง ทำให้แม่ได้เห็นว่าความสัมพันธ์ในครอบครัว เพื่อน และคนรักไม่มีรากหยั่งลึก เปลี่ยนแปลงได้เสมอ “
ถ้าวันนี้แม่ยังคิดไม่ตก ยังยึดติด ยังทุกข์อยู่ แม่คงตรอมใจ และ จากไปภายในปีครึ่งปี การปฏิเสธของลูก ทำให้แม่ได้เห็นว่าคนเรามีวาสนาก็ได้เจอ
หมดวาสนาก็จากกัน ทุกอย่างไม่เที่ยงแท้ ทำให้แม่เรียนรู้ที่จะสงบและใจเย็น มองทุกอย่างในเชิงบวก แม่ไม่มีลูกแล้ว ไม่มีอะไรให้เป็นห่วง เพราะงั้นแม่ถึงสามารถอยู่ได้โดยไม่มีมัน
” พ่อแม่ที่น่าสงສ า ร “ คนเป็นพ่อแม่อยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้รับกลับไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดมีคนกล่าวไว้ว่า
บ้านของพ่อแม่คือบ้านของลูกตลอดเวลา บ้านของลูกไม่เคยเป็นบ้านของพ่อแม่ การให้กำเนิดลูกเป็นงานที่ต้องทำ การเลี้ยงดูลูกเป็นภาระหน้าที่ การพึ่งพาลูกเป็นความเข้าใจผิด
ช่างเป็นความจริงที่ไม่น่าฟัง แต่ก็ไม่ฟังก็ไม่ได้ เพราะ ยังไงก็ต้องเผชิญ แม้ว่าไม่ใช่ลูกทุกคนจะเป็นเหมือนลูกชายในเรื่อง แต่คนเป็นพ่อแม่ไม่ควรคิดว่าจะพึ่งพาลูกตลอดไป
พูดกันตามตรง ยังไงแล้วทุกคนก็ต้องดูแลตัวเอง ลูกกตัญญูต่อคุณถือเป็นบุญ ถ้าลูกกตัญญูไม่พอ พ่อแม่ก็บังคับไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดคือ วางแผนชีวิตพึ่งพาตัวเองไว้เมื่อตอนอายุเยอะแล้ว จึงเป็นสิ่งที่รอบคอบที่สุดที่ควรทำ
จากมุมมองของสังคม การมีลูกจะได้มีคนเลี้ยงตอนชราเป็นความปรารถนาในใจ แต่ในยุคปัจจุบัน เศรษฐกิจ สังคม วัตถุนิยม
วิถีการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป สถานการณ์ในปัจจุบันคือ คนยุคใหม่เปลี่ยนไป คนอายุมากยังยึดติด การที่คนอายุมากยึดแนวความคิดว่ามีลูกจะได้มีคนเลี้ยงดูคงจะไม่เห ມ าะสมกับอีกต่อไป
สิ่งที่ตามมาคือ… ” ความผิดหวังบนความคาดหวังที่ไม่สามารถคาดเดาได้ “ อายุขนาดนี้และ ผ่านโลกมาก็เยอะแยะมากมาย
รู้เห็นอะไรมามาก น่าจะเข้าใจในวิถีความเปลี่ยนแปลง และ ความเป็นไปของโลก ได้ดีกว่าลูกๆ
พ่อ แม่ ทวงบุญคุณกับลูกได้แต่มันไม่ใช่ลูกทุกคนที่มีศักยภาพพอที่จะดูแลพ่อแม่ได้ เพราะ ยุคสมัยนี้เพียงแค่ชีวิตครอบครัวของลูกมันก็ต้องดูแลเช่นกัน
การวางแผนดูแลตัวเองในบั้นปลายชีวิตจึงเป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อแม่คน ควรวางแผนและอย่าฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ลูกได้แล้ว มันไม่ใช่ความผิดของลูกที่ดูแลคุณไม่ได้ แต่มันผิดที่คุณที่ไม่ยอมวางแผนชีวิตเผื่อไว้ดูแลตัวเองต่างหาก