แนวคิดหนึ่งที่ทำให้หลายคนเข้าใจผิด เกี่ยวกับการต่อสู้กับปัญหาหนี้สิน คือ มีหนี้แล้วจะออมเงินไม่ได้ เมื่อมีรายได้เข้ามาแล้วก็ต้องรีบนำไปชำระหนี้ทันที
มันจะได้หมดหนี้เร็ว ๆ หมุนวนเข้ากระเป๋าซ้าย จ่ายออ กกระเป๋าขวาอยู่หลายปี สุดท้ายหนี้ยังมีอยู่ แต่คุณภาพชีวิต แ ย่ ลงกว่าเดิม ถ้าการแก้หนี้แบบวิธีเก่าไม่ได้ผล เรามาลองวิธีใหม่กันดูไหมจ๊ะ
“ออมเงินไปพร้อมกับการจ่ายหนี้” อย่าพึ่งทำหน้างง คิ้วขมวด แบบนั้น เพื่อคลายข้อสงสัย เรามาลองคิดไปพร้อม ๆ กัน สมมติว่า เรากำลังมีภาระหนี้สินได้รับเงิน มา 100%
แบ่งไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน 40% ส่วนที่เหลืออีก 60% นำไปจ่ายชำระหนี้ทั้งหมด เรียกง่าย ๆ ว่าได้มา 100% ใช้ไป 100% นั่นเอง ไม่มีเงินออมฉุกเฉินไว้เลย (ควรเก็บเงินฉุกเฉินไว้ 3 – 6 เท่าของค่าใช้จ่าย)
ถ้าวันหนึ่ง เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ถูกให้ออ กจากงานกะทันหัน เมื่อไม่มีงานก็ขาดรายได้ และไม่มีเงินออม แล้วในช่วงระหว่างที่รอหางานใหม่ เราจะนำเงินส่วนไหน มาใช้จ่ายส่วนตัวและจ่ายหนี้รายเดือน
สุดท้ายหนีไม่พ้น การกู้ยืมเงิน มาใช้จ่าย ซึ่งเป็นการสร้างหนี้ พิ่มขึ้นอีกด้วย เพราะสาเหตุนี้ทำให้เราควรออมเงินในขณะที่ยังมีหนี้ เพื่อจะได้ไม่เป็นหนี้ซ้อนหนี้โดยใช้เทคนิค 4 ข้อนี้
1. ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น วิธีที่ทำให้เรามีเงินเพิ่มเร็วที่สุด และทำได้ทันที คือ การประหยัด เริ่มจากจดรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดว่า มีรายจ่ายจำเป็นในชีวิตประจำวัน
และรายจ่ายเพื่อความบันเทิงอะไรบ้าง แล้วตัดรายการที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยออ กไป เช่น ช้อปปิ้ง สังสรรค์กับเพื่อน การดื่มเครื่องดื่ม แ อ ล ก อ ฮ อ ล์ สู บ บุ ห รี่ ท่องเที่ยวกลางคืน ฯลฯ
เพื่อให้เหลือเฉพาะรายจ่าย ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันเท่านั้น
2. แยกหนี้ดีและหนี้ไม่ดี เมื่อเราจดรายการหนี้สินทั้งหมด ออ กมาแล้ว ทำให้เรารู้จักพฤติกรรมการใช้เงินของตนเองมากขึ้น รู้สาเหตุการเกิดหนี้ ก่อนเริ่มแก้ปัญหาหนี้ควรแบ่งหนี้ออ กเป็น 2 ส่วน
คือหนี้ดี (หนี้ที่สร้างรายได้กลับมาให้เรา) และหนี้ไม่ดี (หนี้ที่ไม่สร้างเงินกลับมาให้เรา) จะทำให้เราจัดการหนี้ได้ดีขึ้น สมมติว่า หนี้สินนั้นเกิดจากการซื้อทรัพย์สินเพื่อปล่อยเช่า จัดว่าเป็น “หนี้ดี”
นอ กจากเราได้ค่าเช่ามาผ่อนทรัพย์สินแล้ว มูลค่ายังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ได้รับกำไรจากการขายอีกด้วย ในขณะที่ “หนี้ไม่ดี” นั้นเกิดจากการใชเงินซื้อสิ่งของเพื่อความสุขต่าง ๆ
เช่น ซื้อมือถือใหม่ กินก่อนผ่อนทีหลัง ช้อปปิ้ง เป็นต้น ถ้าช่วงเวลาหนึ่งชีวิตของเรา ต้องสะดุดจนกลายเป็นวิ ก ฤ ตทางการเงินในครอบครัว หากเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น ๆ เราก็ยังเก็บส่วนของหนี้ดีไว้ได้ แล้วขายหนี้ไม่ดี
เช่น ขายเสื้อผ้าเก่า ขายกระเป๋ากับรองเท้า เพื่อให้เรามีเงิน มาใช้จ่ายในระยะสั้นได้ แต่ถ้าหนี้สินลุกลามใหญ่โต เราจึงค่อยมานั่งคิดว่า จะขายทรัพย์สินที่เป็นส่วนของหนี้ดีเพื่อมาชำระหนี้ก้อนโตนั้นหรือไม่
3. เข้าใจหนี้ของตนเอง เขียนสรุปหนี้สินทั้งหมด ให้อยู่ในกระดาษแผ่นเดียวกัน จะได้เห็นภาพรวมว่าหนี้ของเราเป็นแบบไหน เพื่อหาแนวทางการแก้ไข เช่น ในกรณีหนี้ระยะสั้นหรือระยะยาว ถ้าส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะสั้น
มีรายการผ่อนรายเดือน มากกว่ารายได้ ทำให้สภาพคล่องในระยะสั้นหายไป อาจจะปรับโครงสร้างหนี้ด้วยการขยายเวลาชำระหนี้ออ กไปให้นานขึ้น วิธีนี้จะทำให้เราผ่อนต่อเดือนลดลง รู้เวลาการผ่อนที่แน่นอน
ใช้จ่ายคล่องขึ้นในปัจจุบัน แต่ก็ต้องทำใจยอมรับด้วยว่าจะต้องจ่ายดอ กเบี้ยที่มากขึ้นด้วย
4. ขอคำปรึกษาจากเจ้าหนี้ เมื่อมีปัญหาหนี้ อย่าหนี ให้เผชิญหน้ากับมัน เพราะเจ้าหนี้ก็อยากได้รับเงินคืน ถ้าไปขอคำปรึกษาจากเจ้าหนี้ให้ช่วยแก้ปัญหาก็อาจจะได้หาทางออ กร่วมกันได้
แต่เราควรเตรียมตัวด้วยการ หาข้อมูลไปต่อรอง เพื่อที่เราจะได้รับประโยชน์จากการเจรจาให้ได้มากที่สุด
ตัวอย่าง ถ้าเราเป็นหนี้บัตรเครดิต กับธนาคาร 3 แห่ง แล้วต้องการจะปิดบัตรทุกใบ ให้เหลือเจ้าหนี้รายเดียว โดยใช้สินเชื่อส่วนบุคคล เราก็ต้องรู้ว่าตนเองจะกู้เท่าไหร่
และที่ไหนให้ผลประโยชน์กับเราได้มากที่สุด โดยใช้ข้อมูลเหล่านี้ ไปเจรจากับเจ้าหนี้ เราสามารถมีเงินออมพร้อม ๆ กับมีหนี้ได้ อย่างน้อยก็ควรมีเงินออมฉุกเฉิน
เพื่อจะได้ไม่สร้างหนี้ซ้ำซ้อน ส่วนเทคนิคการแก้หนี้ก็เป็นเพียง แนวทางเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งผู้อ่ า นควรนำไปปรับใช้ให้เห ม าะกับสถานการณ์หนี้ของตนเอง