ข้อคิดสอนใจ

พฤติกรรมพ่อแม่ “จอมสปอยล์ลูก” ถ้ารักลูกจริง..ต้องหยุดให้ได้

ปัญหาครอบครัวอย่างหนึ่ง ของคู่แต่งงานที่มีลูกน้อย คือ การเลี้ยงลูกอย่างตามใจจนเกินไป ทำให้เด็กที่ถูกตามใจ จากพ่อแม่กลายเป็นเด็กสปอยล์ หรือเรียกได้ว่าการที่พ่อแม่ สปอยล์ลูก (Spoil)คือ การทำให้เด็กเสียคน หรือตามใจลูกจนเกินไปนั่นเอง

คุณพ่อคุณแม่อาจมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่จะส่งผล ร้ า ย ต่อเด็กได้ในอนาคต วันนี้เราขอพาส่องว่ามีพฤติกรรมแบบไหนบ้างที่พ่อแม่รังแกฉัน ทำ ร้ า ย ลูกน้อยแบบไม่รู้ตัวพฤติกรรมพ่อแม่แบบไหนที่เข้าข่าย สปอยล์ลูก

1.แสดงพฤติกรรม แ ย่ ๆ ให้ลูกเห็น

เด็กเล็ก ๆ มักจะมีพฤติกรรม การลอ กเลียนแบบคนใกล้ตัว ดังนั้นถ้าพ่อแม่ทำไม่ดีต่อหน้าลูก ก็จะทำให้ลูกเลียนแบบนิสัยไม่ดีของพ่อแม่ไปได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือ การแสดงออ ก

หากไม่อยากให้ลูกทำไม่ดี ก็ไม่ควรทำให้ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้า หรือลับหลังลูก เช่น ห้ามลูกไม่ให้กินขน มกรุบกรอบ แต่คุณก็ชอบซื้อขน มเหล่านั้น มากินเอง

หรือ การเผลอพูด คำ ห ย า บ ที่อาจเป็นคำอุทานเมื่อลูกได้ยินบ่อย ๆ ก็อาจนำคำพูดที่คุณใช้บ่อย ๆ มาพูดได้ เป็นต้น

2.เข้มงวดกับลูกเกินพอดี

หากคุณใช้วิธีการเลี้ยงลูกแบบเข้มงวด มากเกินไป ก็อาจจะทำให้ลูกกลายเป็นเด็กขี้กลัว ไม่กล้าตัดสินใจอะไรเอง ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง

เพราะอะไรที่มัน มากเกินไปผลลัพธ์ที่ได้มักจะไม่ดีเสมอดังนั้นถ้าไม่อยากให้ลูกกลายเป็นเด็กมีปัญหา ลองปล่อยให้ลูกได้มีความคิดในการตัดสินใจและได้ทำอะไรด้วยตัวเองดูบ้าง

3.ลงโ ท ษลูกหนักเกินไป

เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกเติบโต มาเป็นคนที่ดีของสังคม เด็ก ๆ ควรได้รับการลงโ ท ษเมื่อทำผิดเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว แต่วิธีการลงโ ท ษ ก็ควรเห ม าะสม กับความผิดของลูกด้วย เพราะบางครั้งลูกอาจทำผิดด้วยความไม่รู้ จึงไม่จำเป็นต้องลงโ ท ษทุกครั้ง

แต่เริ่มต้นลูกด้วยการตักเตือน อธิบายให้ลูกเข้าใจถึงความผิด และถ้าหลังจากนั้น ลูกยังดื้อทำผิดซ้ำ ๆ ก็ควรหาวิธีลงโ ท ษลูกด้วยความเห ม าะสมกับวัยหรือความผิด โดยหลีกเลี่ยงการใช้ความรุ น แ ร ง

4.ตามใจลูกมากเกินไป

ตามใจในที่นี้ คือ การปล่อยให้ลูกอยากทำอะไรก็ทำ โดยไม่คำนึงถึง ความถูกต้อง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าหากปล่อยลูกให้ทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดี ก็ยังตามใจลูกให้ทำและไม่สอนลูกในสิ่งที่ควรหรือไม่ควรทำโดยคิดว่าเมื่อโตขึ้นลูกจะเรียนรู้ถูกผิดได้เอง

ซึ่งความคิดในการเลี้ยงลูกด้วยวิธีนี้เป็นสิ่งที่จะทำให้ลูก ติดนิสัยไปจนโตได้ เพราะเด็กยังไม่รู้จักการแยกแยะด้วยตนเอง ดังนั้นพ่อแม่จึงไม่ควรปล่อย ลูกให้หรือตามใจลูกจนเกินพอดี และควรจะเป็นฝ่ายที่สอนลูกก่อนจะสายเกินไป

5.เอาใจเกินพอดี

เอาใจเกินพอดีตอบสนองลูกด้วยการให้มากเกินไป ทั้งวัตถุและสิ่งของ เพราะหวังจะให้ลูกมีความสุข แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่พ่อแม่นั้น กลับส่งเสริมให้ลูกไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักความยากลำบากและการอดทนรอคอย ไม่ยอมรับกับความผิดหวัง ไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ได้มา

กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเอง และสุดท้ายลูกก็จะไม่มองเห็น คุณค่าของคนอื่นด้วย การสปอยล์ลูกแบบนี้จะส่งผลให้ลูกอยู่ยากในสังคมเมื่อเขาเติบโตขึ้น

6.ให้ท้ายลูก ให้อภัยลูกแบบผิด ๆ

คุณพ่อคุณแม่ ควรเลิกคำพูดติดปากว่า ” เขายังเด็ก ” “อย่าถือสาเด็กเลย ” เพื่อปกป้องเวลาลูกทำผิดโดยไม่สนใจเหตุผล ควรสอนให้ลูกทราบถึงเหตุผล และยอมรับความจริง หากทำผิดต้องขอโ ท ษ

และไม่ทำผิดซ้ำอีก เพราะยิ่งถ้าสอนลูกตั้งแต่ยังเล็กจะง่ายกว่า สอนตอนเด็กโตแล้ว นอ กจากนี้คุณพ่อคุณแม่ควรพูดและปฏิบัติกับลูกใน มาตรการที่ตรงกัน เพื่อไม่ให้เด็กเกิดความสับสน

อาการของเด็กเมื่อถูกสปอยล์มากเกินไป

อารมณ์ร้อนเกรี้ยวกราด บ่อยครั้ง ลูกมักแสดงอาการฉุนเฉียว ก รี ดร้อง โ มโ ห ร้ า ย อยู่บ่อยครั้ง

กระทืบเท้า ปิดประตูเสียงดัง ลูกมีอารมณ์ โ ม โ ห ร้ า ย อยู่บ่อยครั้ง ระบายอารมณ์ผ่านทางการทำล า ยข้าวของต่าง ๆ

ต้องมี ข้อแลกเปลี่ยนเสมอ เมื่อคุณพ่อคุณแม่ต้องการให้ลูกทำอะไร มักสร้างเงื่อนไขเพื่อเป็นแรงจูงใจให้ลูกปฏิบัติตาม

แต่หากทำบ่อยครั้งอาจไม่เป็นผลดีต่อเด็กค่ะ เพราะต้องสอนให้ลูกรู้จักหน้าที่ มีระเบียบวินัยและสิ่งที่ต้องทำ

หวงของ ควรสอนให้รู้จัก แ บ่ ง ปั น สิ่งต่าง ๆ จะช่วยพัฒนาทักษะ ทางด้านอารมณ์และจิตใจ เอาแต่ใจจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ

คำแนะนำ ที่ช่วยให้เลี้ยงดูเด็กแบบไม่ สปอยล์ลูก

กำหนดขอบเขตที่เห ม าะสม กับวัยของลูกเพื่อให้เด็ก ๆ ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มได้ตั้งแต่ในช่วงวัยเตาะแตะ

กำหนดขอบเขตด้านความปลอดภัย ภายนอ ก ตัวอย่างเช่น: “อย่าแตะต้องเตาร้อน” และ “อย่าวิ่งเข้าไปในถนน” ถ่ายทอดสิ่งที่เป็นที่ควรทำและไม่ควรทำ พูดคุยถึงเหตุผล บอ กถึงปัญหาที่จะตามมาหากทำสิ่งนั้น และ เสริมสร้างพฤติกรรมทางสังคมเชิงบวก

ในลักษณะเดียวกัน สั่งสอนลูกถึงสิ่งที่ควรปฏิบัติ เช่น กล่าวขอโ ท ษและขอบคุณ หรือเล่นอย่างอ่อนโยนกับเพื่อน ควรหมั่นเสริมสร้างพฤติกรรมเชิงบวกให้ลูก มากกว่าพฤติกรรมเชิงลบ

พูดคุยกับลูกอย่างเปิดเผยและมีเหตุมีผล เกี่ยวกับพฤติกรรมเมื่อพวกเขาโตขึ้น “เด็กในวัยเรียนและวัยรุ่นสามารถเข้าใจ คำพูดได้ดีกว่าเด็กเล็ก ดังนั้นให้พย ายามคิดพูดคุยปัญหาร่วมกัน เช่นเมื่อลูกทำผิดให้คุณพ่อคุณแม่ถามลูกว่า “ทำไมลูกถึงทำเช่นนี้”

เด็กอาจไม่สามารถบอ กคุณได้ แต่ถ้าพูดว่า “พ่อ/แม่สงสัยว่าทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้นอีก” คำถามปลายเปิดอาจทำให้ลูกรู้สึกสะดวกใจ และเล่าให้ฟังอย่างไม่เกร็งได้ คำตอบของลูกในบางครั้งอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่แปลกใจก็เป็นได้

อยู่ในความสงบ ระงับสติอารมณ์ เมื่ออารมณ์เสีย แม้แต่ผู้ใหญ่เอง ก็อาจแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีออ กมา จะทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึก แ ย่

และควบคุมตัวเองไม่ได้ (เหมือนเด็กนิสัยเสีย) และการแสดงพฤติกรรมไม่ดีเหล่านี้ ไม่ได้สอนให้เด็ก มีพฤติกรรมดีขึ้น แถมอาจทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบอีกด้วย

คงเส้นคงวา เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกอย่างสม่ำเสมอ

มีกฎระเบียบร่วมกันที่ดี เพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขครอบครัว คือจุดเริ่มต้นของสังคม จึงควรมีกฎที่อยู่ในข้อตกลงร่วมกัน เพื่อให้ลูกปฏิบัติตาม และแจ้งให้ทราบว่าถ้าลูกไม่ปฏิบัติตาม จะมีผลตามมาสำหรับพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ถ้าลูกเล่นของเล่นแล้วไม่เก็บ

แม่จะเก็บของนี้แล้วไม่ให้เล่นอีกนะ หรือวางของเกะกะอาจทำให้เกิด อุ บั ติ เ ห ตุ ได้ เป็นต้น สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการปลูกฝังนิสัยที่ดีให้ลูก คือ การเริ่มต้นแต่เนิ่น ๆ และทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อ กำหนดขีดจำกัด ทำความเข้าใจความต้องการด้านพัฒนาการของทารกและเด็กเล็ก อาจจะต้องใช้เวลาแต่จะเกิดผลดีต่อตัวเด็กในระยะยาว

แน่นอนว่าการเลี้ยงลูกด้วยวิธีแบบนี้ ย่อมไม่ส่งผลดีทั้งต่อตัวลูกและพ่อแม่ การสปอยลูกมากเกินไปอาจทำให้เด็กโตขึ้นเห็นแต่ประโยชน์ของตนเอง และไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่นหรือประโยชน์ของสังคมส่วนรวม ดังนั้น ถ้าพ่อแม่อยากเลี้ยงลูกแบบมีคุณภาพ

ลองมองดูว่าตัวเอง เข้าข่ายพฤติกรรมเหล่านี้หรือไม่ ควรหยุดสปอย์ลูกแบบไม่มีเหตุผล และหาวิธีเลี้ยงลูกอย่างถูกหลักก่อน ที่จะสายเกินแก้ และเพื่อให้ลูกได้เติบโตมาเป็นคนดี มีคนที่รัก อยู่ในสังคมที่เขาจะเติบโตขึ้น มาได้อย่างมีความสุขนะคะ

Meko