สำหรับใครหลายคนที่กำลังทำงานเป็นพนักงานบริษัทเอ กชนใหญ่ๆ หรือเป็นพนักงานของรัฐ ข้าราชการกินเงินเดือน ส่วนใหญ่ก็จะมีรายได้ในแต่ละเดือน
ตั้งแต่ 15,000-30,000 บาท แต่ก่อนเราก็คิดว่าเงินเดือนเท่านี้คงอยู่ได้สบายๆแถมมีเหลือเก็บ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย
ในหนึ่งเดือนคุณจะรู้สึกว่า ค่าใช้จ่ายนั้น มีมากมายไปหมด ยิ่งถ้าใครที่เริ่มต้นทำงานใหม่ๆ ไปผ่อนรถป้ายแดงคันงามด้วยแล้ว ยิ่งต้องมีภาระเพิ่มขึ้น
ทั้งค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเอย ค่าผ่อนรถเอย ค่าครองชีพ ค่ากิน ค่าเดินทาง ค่าซ่อมบำรุง ค่ารักษาพยาบาลยามฉุกเฉิน
ค่ากินเลี้ยงสังสรรค์พบปะผู้คนและอีกมากมาย ค่าใช้จ่ายเหล่านี้แทบจะทำให้คุณไม่มีเงินเก็บ แถมบางเดือนยังต้องมานั่งเครียด ปวดหัวเพราะหมุนเงินไม่ทัน ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปทันทีครับ ถ้าเรารู้จักเริ่มต้นการ ออม
อย่างว่าแหละครับ สำหรับคนที่มีเงินเดือน หาเงินได้ด้วยตนเอง ก็อยากที่จะมีอิสระในการใช้จ่าย เพราะตอนเราเป็นวัยรุ่นวัยเรียนนั้นเราขอตังค์ผู้ปกครองใช้
เราไม่จำเป็นต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจว่าจะไม่มีตังไว้ใช้จ่าย แต่พอวันเวลาผ่านไปเราโตขึ้น เรียนจบได้ทำงาน คุณพ่อคุณแม่บางคนอาจจะเริ่มเกษียณกัน
ไม่ก็อายุมากขึ้นก็ไม่สามารถทำงานได้เหมือนเดิม บางคนก็เริ่มเจ็บป่วยต้องได้รับการรักษา ค่าใช้จ่ายส่วนนี้คนเป็นลูกย่อมต้องช่วยกันรับผิดชอบ
ดังนั้นคุณจะมาใช้จ่ายตามใจแบบตอนที่เป็นวัยรุ่นไม่ได้แล้ว อย่างน้อยต้องเริ่มคิดถึงส่วนนี้ไว้บ้าง ถ้าใครได้รับทำงานเป็นข้าราชการก็อาจจะโชคดีตรงที่ค่าใช้จ่ายส่วนนี้สามารถเบิกฟรีได้
แต่สำหรับคนที่เบิกไม่ได้ก็ต้องคุมเกมการเงินของตัวเองให้ดีครับ โดยเริ่มจาก การวางแผนการเงินและการออมในระยะยาวกันครับ
การออมนั้น มีหลากหลายวิธีมาก คนส่วนใหญ่จะออมเงินหรือเก็บเงินหลังจากการใช้จ่ายในแต่ละวันที่หมดไป เหลือใช้เท่าไหร่ค่อยเก็บ แบบนี้จะก็จะเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก
แต่วิธีนี้เราจะไม่สามารถรู้หรือคาดเดาได้ว่าเราจะมีเงินเก็บภายในระยะเวลาที่เราต้องการนั้นเป็นจำนวนเท่าใด ทางออ กที่ดีที่สุดก็คือ การเก็บแบบหนึ่งในสาม
ด้วยสมการ รายได้-เงินออม = รายจ่าย เช่นหากคุณมีเงินเดือน 15,000 บาท หักไว้ออมก่อนเลยครับ 5,000 บาท
จากนั้น อีก 10,000 บาท คุณค่อยนำไปเฉลี่ยเป็นรายจ่ายในส่วนต่างๆเช่น ค่าเดินทาง/ค่าน้ำมัน ,ค่าอาหาร,ค่าผ่อนรถ เป็นต้น
บางทีถ้าคุณอยากมีเงินออมไวไว คุณอาจจะต้องเพิ่มรายได้ให้มากขึ้นจากการทำงานพิเศษต่างๆ หรือเลือ กที่จะตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นบางส่วนออ กไป
อย่างเช่น ค่ากินเลี้ยงสังสรรค์,ค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อของฟุ่มเฟือย เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ เครื่องสำอางต่างๆ การใช้บริการขนส่งสาธารณะก็จะช่วยประหยัดค่าน้ำมันได้อีกทางหนึ่ง เป็นต้น
เมื่อเริ่มเก็บเงินออมได้สักพักแล้ว อาจจะ 6 เดือน หรือ 1 ปี ขั้นตอนต่อไปหลังจากที่เราเริ่มมีเงินก้อนเป็นของตัวเองก็คือ พยายามหาโอ กาสที่จะต่อยอดเงินของคุณให้งอ กเงย
อย่างเช่น ใครที่ชอบเสี่ยงอาจจะนำเงินไปลงทุนซื้อ กองทุนรวม ซื้อหุ้นไว้เกร็งกำไร หรือถ้าใครที่ไม่ชอบความเสี่ยง อยากลงทุนแต่ต้องมีความมั่นคงด้วยนั้น
ก็มีวิธีคือ ลงทุนด้วยการฝากประจำ ที่มีหลากหลายรูปแบบทั้งแบบที่ฝากเป็นประจำรายเดือน ทุกๆ 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี การให้ผลตอบแทนนั้นจะอยู่ในรูปของดอ กเบี้ย
เช่น ฝากประจำเดือนละ 1,000 บาท ได้ดอ กเบี้ยปีละ 3.75 % เป็นต้น เมื่อครบกำหนดระยะเวลาดอ กเบี้ยที่ได้ก็จะถูกนำไปรวมกับเงินต้น ก็เป็นวิธีที่สามารถเพิ่มเงินก้อนให้กับคุณได้ง่ายๆโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเสี่ยงต่อ การขาดทุน
อีกวิธีหนึ่งที่นิยมในกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยแต่อยากทำให้ เงินงอ กเงย นั่นก็คือ การลงทุนด้วย การออมกับสลากออมสิน ก็ถือเป็นอีกทางเลือ กหนึ่งที่น่าสนใจ
เพราะการออมในลักษณะนี้นอ กจากจะสามารถให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอ กเบี้ยในแต่ละปีแล้ว ยังมีโอ กาสลุ้นรางวัลสลากในแต่ละเดือนอีกด้วย
ซึ่งการซื้อสลากออมสิน อยู่ที่หน่วยละ 50 บาท ถ้าคุณมีเงิน 10,000 บาท ก็สามารถซื้อได้แล้ว 200 หน่วย ใน 200 หน่วย สามารถลุ้นรางวัลใหญ่ที่มีมูลค่าสูงสุด 10 ล้านบาท
ได้ถึง 36 ครั้ง นอ กจากนี้เมื่อครบระยะเวลาในการฝากแล้ว ยังสามารถถอนเงินออ กพร้อมยอดเงินสุทธิรวมจากการคิดดอ กเบี้ยในแต่ละปี ถ้าคุณโชคดีถูกรางวัลต่างๆก็จะถูกบวกเพิ่มเข้าไปอีก เรียกว่าเป็นทั้งการออมที่ได้ผลตอบแทนพอสมควรเลยล่ะครับ
เอาล่ะครับ พูดมาซะยืดยาวเลย เรื่องของการวางแผนทางการเงินเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและก็ต้องให้ความใส่ใจมากๆ เราจะมีเงินเก็บหรือไม่มี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราหาได้มากได้น้อยหรอ กครับ
แต่มันขึ้นอยู่กับความสามารถในการเก็บออมของเรา ว่ามีวินัยในการใช้จ่ายและรู้จักออมมากแค่ไหน ถึงจะมีรายได้เข้ามา หาเงินได้มากเท่าไหร่
แต่เป็นคนที่ชอบใช้จ่ายไม่รู้จักพอและประมาณตนนั้น ก็จะทำให้เงินที่หามาได้ร่อยหรอลงทุกๆวัน เงินเก็บไม่มี ชักหน้าไม่ถึงหลัง อาการหนักเข้าหน่อยก็ต้องไปกู้ยืมมาใช้จ่ายเป็นหนี้เป็นสิน เดือดร้อนกันไปถ้วนหน้า